แนวคิดในการพัฒนาหมู่บ้าน
แนวคิดในการพัฒนาหมู่บ้าน
เริ่มจากการเติมปัญญาเรื่องศาสตร์พระราชา โดยเฉพาะ 23 หลักการทรงงาน และเกษตรทฤษฎีใหม่ให้กับสมาชิกกลุ่ม และเรื่องการวางแผนการเพาะปลูก และวิเคราะห์ดินเบื้องต้น ก่อนลงมือปลูกผัก และในขั้นมีกิน มีใช้ พออยู่ เน้นการเรียนรู้ด้วยการลงมือปฏิบัติ โดยการถ่ายทอดหลักสูตรการทำวัสดุปลูก การปลูกผักโดยวิธียกแปลงและทำชั้น การทำปุ๋ยหมักธรรมชาติ และการทำสมุนไพรไล่แมลง/สารชีวภัณฑ์ ขั้นสามคือเพิ่มมูลค่าสินค้าโดยพัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์และการแปรรูป และการผลิตสินค้าให้ได้มาตรฐานโดยไม่ใช้สารเคมี รวมกลุ่มกันทำจำหน่ายในนามชื่อหมู่บ้าน และขั้นสุดท้าย นวเกษตรคือสมาชิกสามารถถ่ายทอดความรู้ เป็นวิทยากร และพัฒนาบ้านตนเองเป็นแหล่งเรียนรู้ รวมทั้งการเข้าสู่มาตรฐานเกษตรอินทรีย์
หน่วยงานในพื้นที่ที่ทำการสนับสนุน
1.มหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี สนับสนุนองค์ความรู้ต่าง ๆ เช่น การวิเคราะห์สภาพดิน
2.สิงห์บุรีรัมย์ เกษตรฟาร์ม สนับสนุนองค์ความรู้การทำปุ๋ย วัสดุปลูกไร้ดิน
3.ประเสริฐ ออแกนิกส์ฟาร์ม สนับสนุนองค์ความรู้ในการทำเกษตรอินทรีย์
4.บริษัทน้ำตาลสิงห์บุรี (เครือมิตรผล)ให้คำปรึกษา และบุคลากรในการทำกิจกรรม
5.ศูนย์การศึกษาการเรียนรู้ชุมชนเศรษฐกิจพอเพียงชุมชนพระราชดำริ จังหวัดสิงห์บุรี ตำบลไม้ดัด
สถานที่ อาคาร ในการทำกิจกรรมทดลอง/วิจัย
กระบวนการพัฒนาหมู่บ้านด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
การดำเนินโครงการประกอบด้วยกระบวนการตามที่คณะกรรมการดำเนินงานได้วางแผนการปฏิบัติงานไว้ระยะเวลาจำนวน 3 ปี
ปีที่ 1 เป็นการเติมปัญญาโดยใช้ศาสตร์พระราชา ในเรื่อง 23 หลักการทรงงาน และเกษตรทฤษฎีใหม่ ในการจัดสรรพื้นที่ ค้นหาอัตลักษณ์ของตนเองว่าเหมาะกับการผลิตภัณฑ์ชนิดใด สมาชิกบางท่านมีทักษะในการทำวัสดุปลูก บางท่านเชี่ยวชาญการเพาะเมล็ดพันธุ์ รวมทั้งชนิดของพืชผักที่ปลูกซึ่งมีความหลากหลาย ได้แก่ ผักสลัด ผักสวนครัว ผักสมุนไพร และถ่ายเทคโนโลยีหลักสูตรต่าง ๆ ในการเพาะปลูกผัก ตั้แต่งเรื่องการวางแผนการเพาะปลูก และวิเคราะห์ดินเบื้องต้น ก่อนลงมือปลูกผัก และในขั้นมีกิน มีใช้ พออยู่ เน้นการเรียนรู้ด้วยการลงมือปฏิบัติ โดยการถ่ายทอดหลักสูตรการทำวัสดุปลูก การปลูกผักโดยวิธียกแปลงและทำชั้น การทำปุ๋ยหมักธรรมชาติ และการทำสมุนไพรไล่แมลง/สารชีวภัณฑ์ โดยการเรียนรู้จากการลงมือปฏิบัติแล้วนำกลับไปทำต่อที่บ้าน มีการติดตามผลการนำปฏิบัติทุกกิจกรรมหลังจากเรียนรู้ รวมทั้งการเข้าสู่มาตรฐานโดยใช้เทคโนโลยี SDGsPGS
ปีที่ 2 เป็นการทำการตลาด เพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ การออกแบบตราผลิตภัณฑ์ ช่องทางการจัดจำหน่าย และการเก็บคัดเลือกและเก็บเมล็ดพันธุ์ การรวมกลุ่มเพื่อเข้าสู่มาตรฐาน รวมไปถึงการสร้างแหล่งการเรียนรู้ภายในชุมชนเพื่อยกระดับความรู้และคุณภาพของผลิตภัณฑ์ให้เป็นที่รู้จักและมีคุณภาพ ขยายตลาดและการแปรรูปผลิตภัณฑ์ให้มีความหลากหลาย
ปีที่ 3 เป็นการเผยแพร่ความรู้ สร้างวิทยากร สร้างเครือข่ายความร่วมมือ จากหน่วยงานราชการสถาบันการศึกษา เผยแพร่ไปยังโรงเรียนในชุมชน และชุมชนอื่นๆ ที่มีบริบทคล้ายคลึงกันเพื่อสร้างเครือข่ายแลกเปลี่ยนความรู้และความร่วมมือ ไปสู่การพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืนต่อไป
จุดแข็ง (Strengths)
1. มีกลุ่มชาวบ้านให้ความร่วมมืออย่างเหนียวแน่น
2. สมาชิกกลุ่มค่อนข้างมีเวลาว่างจากการทำนา
3. พื้นที่เหมาะสมกับการทำเกษตร
4. สมาชิกมีความรู้ในการทำเกษตรหลากหลายเช่น เลี้ยงสัตว์ พืชสมุนไพร เป็นต้น
5. ช่องทางการจัดจำหน่ายมีทั้งขายส่งและขายปลีก
6. สมาชิกมีพื้นที่เป็นของตนเอง
จุดอ่อน (Weaknesses)
1. ขาดความรู้ในการทำเกษตรอินทรีย์
2. ขาดความรู้ในการขอรับรองมาตรฐาน
3. ต้นทุนการผลิตสูง
4. ยังใช้สารเคมีในการผลิต
5. ผักส่วนใหญ่ยังไม่มีมาตรฐานรับรอง
6. รายจ่ายไม่เพียงพอกับรายได้
7มีภาระหนี้สิน
โอกาส (Opportunities)
1. รัฐบาลสนับสนุน เช่น นโยบายจังหวัดสิงห์บุรี
2. มีโครงการพระราชดำริในพื้นที่ ยินดีให้เข้าไปทดลองใช้พื้นที่เพื่อการทดลองและวิจัย
3. มีหน่วยงานสนับสนุนการฝึกอบรม เช่น พช. /กศน.
4. มีบริษัทน้ำตาลสิงห์บุรี (เครือมิตรผล) ให้การสนับสนุนการทำกิจกรรม
ภัยคุกคาม (Threats)
1. แมลงศัตรูพืชตามฤดูกาล
2. สภาพแวดล้อมไม่สามารถควบคุมได้ เช่น อากาศร้อนมากเกินไป หรือฝนตกจนน้ำท่วมขัง
3. โครงการพระราชดำริ ยังขาดเจ้าหน้าที่ประจำศูนย์ฯ